บทความ

เช็กตัวเลข BMI น้ำหนักเกินเกณฑ์แค่ไหน...เข้าขั้นโรคอ้วน?

หากพูดถึงภาวะน้ำหนักเกิน หลายคนคงนึกถึงผู้ที่มีรูปร่างอวบอ้วนชัดเจนเป็นอันดับแรกๆ แต่แท้ที่จริงแล้วแม้ภายนอกจะดูเป็นคนหุ่นบางร่างผอมก็อาจได้เป็นเจ้าของน้ำหนักเกินได้ ซึ่งโดยทั่วไปเรามักจะมีวิธีเช็กด้วยตนเองง่ายๆ และสามารถเริ่มทำได้แบบทันที โดยสูตรคำนวณค่าดัชนีมวลกาย (BMI : Body Mass Index) ดังนี้
ค่าดัชนีมวลกาย(BMI) = น้ำหนัก(กก.) / ส่วนสูง(เมตรยกกำลัง2) เกณฑ์วัดค่าดัชนีมวลกาย :

BMI 18.5-22.9 kg./m2 : ปกติปกติ (สมส่วน)
BMI 23.0-24.9 kg./m2 : น้ำหนักเกิน
BMI > 25.0 kg./m2 : ภาวะน้ำหนักเกิน (โรคอ้วน)

ส่องสถิติคนไทย! เข้าใกล้ ‘โรคอ้วน’ แค่ไหนในช่วงที่ผ่านมา

ข้อมูลจาก สสส. และเครือข่ายคนไทยไร้พุงได้ระบุถึงสถิติ ‘อ้วนลงพุง’ ของคนไทย โดยพบว่าตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบันคนไทย 19.3 ล้านคน หรือร้อยละ 34.1 มีภาวะอ้วน และคนไทย 20.8 ล้านคน หรือร้อยละ 37.5 มีภาวะอ้วนลงพุง หรือมีขนาดรอบเอวเกินมาตรฐาน ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นโรค NCDs (กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) เช่น ความดัน เบาหวาน ถุงลมโป่งพอง หลอดเลือดสมองและหัวใจ บวกกับปัจจัยกระตุ้นส่งเสริมที่ทำให้ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินเสี่ยงมีอาการหนักมากขึ้น เมื่อติดเชื้อโควิด-19 ดังนี้

อาการโรคร่วมที่มีอยู่เดิม

เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่มีภูมิต้านทานอ่อนแออยู่แล้ว

ภาวะปอดทำงานไม่ปกติ

ซึ่งเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น ไขมันหน้าท้องที่ดันปอดขึ้นไปบดบังกระบังลมและปอด หรือไขมันที่ขยายตัวหนาบริเวณทรวงอก ส่งผลให้ปอดขยายตัวได้น้อยลง หากเชื้อโควิดลงปอดจึงทำให้สารคัดหลั่งถูกขับออกได้ยาก

ภูมิคุ้มกันทำงานลดลง

เนื่องจากไขมันส่วนเกินไปพอกอวัยวะที่ใช้สร้างภูมิคุ้มกัน เช่น ต่อมไทมัส ม้าม และไขกระดูก อีกทั้งเซลล์ไขมันยังส่งผลให้เกิดการอักเสบขึ้นได้

จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมคนน้ำหนักเกินที่ติดเชื้อโควิด-19 ถึงเสี่ยงมีอาการรุนแรงมากกว่าใคร และเป็นหนึ่งในกลุ่มเร่งด่วนที่ควรเข้ารับการฉีดวัคซีน พร้อมๆ กับการเริ่มต้นใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองอย่างจริงจัง ซึ่งไม่ใช่เพียงเพื่อการลดน้ำหนัก ลดความอ้วน แต่เพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บป่วยและโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นร่วมด้วย